วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน 2556

บันทึการเข้าเรียนครั้งที่ 4

 เนื้ิอหาที่้เรียน

อาจารย์สอนต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว


เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ (Children with Behaviorally and Emotional Disorders) 
 เด็กบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ หมายถึง ผู้ที่มีการควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในสภาพ
ปกติ เช่นคนปกตินาน ๆ ไม่ได้ หรือผู้ที่ควบคุมพฤติกรรมบางอย่างของตนเองไม่ได้ ซึ่งพฤติกรรมที่
แสดงออกมานั้นไม่เป็นที่ยอมรับและพอใจของมาตรฐานความประพฤติปฏิบัติของสังคม ท าให้ไม่
สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเรียบร้อย สอดคล้องกับสภาพการณ์ ซึ่งการจะจัดว่าใครมีความ
บกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ต้องค านึงถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ดังนี้
 1. สภาพแวดล้อม พฤติกรรมและอารมณ์ที่เป็นที่ยอมรับในสถานการณ์อย่างหนึ่ง อาจจะ
ไม่เป็นที่ยอมรับในอีกสถานการณ์หนึ่ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเวลา สถานที่ และการปฏิบัติของชนกลุ่มนั้น
2. ความคิดเห็นของแต่ละบุคคล ความคิดเห็นของคนสองคนที่มีต่อพฤติกรรมอย่างเดียวกัน
ย่อมไม่เหมือนกัน
3. เป้าหมายของแต่ละบุคคล ซึ่งเป้าหมายจะเป็นตัวก าหนดท าให้การมองพฤติกรรม
เดียวกันของคนสองคนมองกันคนละแง่เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์จะได้รับ
ผลกระทบในลักษณะต่าง ๆ อาจจะเพียงข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายข้อก็ได้ และเป็นปัญหาที่เกิดขึ้น
และมีมาเป็นเวลานานแล้วได้แก่ 1.ไม่สามารถเรียนหนังสือได้เช่นเด็กปกติ และเด็กที่ไม่สามารถเรียนได้นั้น มิได้มีสาเหตุมา
จากองค์ประกอบทางสติปัญญา และสุขภาพ หรือความบกพร่องทางร่างกาย
2. ไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนนักเรียนด้วยกัน หรือกับครูได้
 3. มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กปกติอื่น ๆ ในวัยเดียวกัน
4. มีความคับข้องใจ และมีความเก็บกดอารมณ์
5. แสดงอาการทางร่างกาย เช่น ปวดศรีษะ ปวดตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หรือมีความ
หวาดกลัว เมื่อมีปัญหาส่วนตัวหรือปัญหาทางด้านการเรียน
เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรม ซึ่งจัดว่ามีความรุนแรงมาก และก าลังได้รับความ
สนใจจากทางการแพทย์ ทางจิตวิทยา และทางการศึกษา ได้แก่
1. เด็กสมาธิสั้น (Children with Attention Deficit and Hyperactivity Disorders) หรือเรียก
ย่อ ๆ ว่า ADHD หมายถึงเด็กที่ซนอยู่ไม่นิ่ง ซนมากผิดปกติ เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา บางคนมี
ลักษณะอาการที่เห็นได้ชัดเจนถึงปัญหาเรื่องสมาธิบกพร่อง (Attention Span) หรืออาการหุนหัน
พลันแล่น ขาดความยับยั้งชั่งใจ (Impulsive Behaviors) ส าหรับเด็กเหล่านี้ทางการแพทย์จะเรียกว่า
Attention Deficit Disorders หรือ เรียกย่อ ๆ ว่า ADD
 2. เด็กออทิสติก (Autistic) หรือบางครั้งเรียกว่า ออทิสซึ่ม (Autisum)

ลักษณะบางอย่างของเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ที่พอสังเกตได้แบ่งเป็น

1. ลักษณะพฤติกรรมไม่สมวัยอันอาจน าไปสู่ความบกพร่องทางบุคลิกภาพและการปรับตัว

หากไม่ได้รับการแก้ไข มีดังนี้
1.1 หยิบสิ่งที่ไม่ใช่อาหารเข้าปาก หรือกิน
1.2 กินอาหารยาก หรือเบื่ออาหาร
1.3 กินจุ พร่าเพรื่อ
1.4 อุจจาระ ปัสสาวะรดเสื้อผ้า หรือที่นอน
1.5 ยังติดขวดนม หรือตุ๊กตา และของใช้ในวัยทารก
1.6 พูดน้อยค า
1.7 พูดไม่เป็นภาษาที่ฟังเข้าใจ
1.8 พูดไม่ชัด
1.9 พูดเสียงเบา ค่อย ๆ
1.10 พูดตะกุกตะกัก ติดอ่าง
1.11 พูดหยาบคาย
1.12 ไม่ยอมพูดเฉพาะกับคนบางคน
1.13 ดูดนิ้ว
1.14 กัดเล็บ
1.15 ถอนผม
1.16 กัดฟัน
1.17 โขกศีรษะ
1.18 โยกตัว
1.19 เล่นอวัยวะเพศ
1.20 เรียบร้อยเกินไป
1.21 ติดคนมากเกินไป
1.22 เชื่อผู้อื่นมากเกินไป
1.23 สมยอม
1.24 ดื้อดึงผิดปกติ
1.25 ซนผิดปกติ
1.26 หงอยเหงาเศร้าซึม
1.27 ไม่ยอมช่วยตัวเองในสิ่งที่ควรท าได้
1.28 พัฒนาการต่าง ๆ ที่เคยท าได้ชงัก
1.29 ชอบพึ่งพาผู้อื่น
1.30 ไม่กล้าแสดงตนเอง หรือแสดงความคิดเห็น
1.31 ขาดความเชื่อมั่น หรือภาคภูมิใจในตนเอง
1.32 ท้อแท้สิ้นหวัง หมดก าลังใจ
1.33 อาย หลบ หวาดกลัว
1.34 แยกตัวเองไม่เข้ากลุ่ม
1.35 รู้สึกว่าตัวเองมีปมด้อย
1.36 เรียกร้องความสนใจ
1.37 ป้ายความผิดให้ผู้อื่น
1.38 ไม่ยอมรับผิด
1.39 กลัวโรงเรียน หรือไม่อยากมาโรงเรียน
1.40 อารมณ์หวั่นไหวง่ายต่อสิ่งเร้า การถูกวิจารณ์หรือต่อการเปลี่ยนแปลง
1.41 ระแวง
1.42 ย้ าคิดย้ าท า
1.43 ก้าวร้าว
1.44 ต่อต้านสังคมด้วยวิธีต่าง ๆ
1.45 ดื้อเงียบ เช่น ทำไม่รู้ไม่ชี้ทำเป็นไม่ได้ยิน
1.46 มีความประพฤติ จิตใจ การแต่งกาย และบทบาทไม่สมกับเพศของตนเองตามพัฒนาการของวัย

2. ลักษณะความผิดปกติทางความประพฤติที่เป็นปัญหา มีดังนี้

2.1 รู้สึกว่าตนเองมีปมเด่น หรือปมด้อย
2.2 ฝ่าฝืนไม่เคารพกฎระเบียบของหมู่คณะ
2.3 ละเมิดสิทธิผู้อื่น
2.4 ก้าวร้าวทั้งด้านการกระท าและวาจา
2.5 ดื้อดึง ต่อต้าน
2.6 มักก่อเหตุทะเลาะวิวาท
2.7 วางเขื่อง
2.8 ต้องการความยอมรับจากผู้อื่น
2.9 อดกลั้นต่อการถูกยั่วยุไม่ค่อยได้
2.10 ไม่ยอมรับผิด
2.11 ไม่เป็นมิตร นอกจากกับกลุ่มพวกของตน
2.12 อาฆาตพยาบาท
2.13 เกะกะระราน วางโต
2.14 ก่อให้เกิด หรือได้รับอุบัติเหตุบ่อย ๆ
2.15 ลักเล็กขโมยน้อย
2.16 พูดปด
2.17 ใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น
2.18 หนีการเรียน
2.19 หนีออกจากบ้าน
2.20 ใช้สารเสพย์ติดต่าง ๆ
2.21 ผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ไม่ดีหรือด้อยลง

3. ลักษณะความบกพร่องทางอารมณ์และอาการทางประสาท

2.11 ช่างวิตกกังวลจนเกินเหตุอยู่เสมอ
2.12 หวาดผวา กลัวอย่างไม่สมเหตุผล
2.13 ตกใจง่าย
2.14 เคียดแค้นอาฆาต
2.15 หงุดหงิด ฉุนเฉียว ขี้โมโห บันดาลโทสะ
2.16 ขี้อิจฉาริษยา
2.17 เกรี้ยวกราด มุทะลุ ก้าวร้าว
2.18 เจ้าอารมณ์
2.19 เจ้าน้ำตา
2.20 เศร้าซึม
2.21 หงอยเหงา
2.22 หมกมุ่นครุ่นคิด
2.23 ฝันกลางวัน
2.24 เหม่อลอย
2.25 ขาดความสนใจต่อสิ่งแวดล้อม หรือสิ่งเร้า
2.26 กลัวโรงเรียน
2.27 ความเอาใจใส่ และสมาธิต่อการเรียนลดลง
2.28 ผลการเรียนด้อยลง
2.29 ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง
2.30 ติดผู้ใดผู้หนึ่งมากเป็นพิเศษ
2.31 ตัดสินใจอะไรไม่ได้
2.32 ท้อแท้หมดหวัง
2.33 พะวงถึงแต่ตัวเอง
2.34 ตีโพยตีพาย
2.35 ตื่นเต้นง่าย
2.36 เก็บกดซ่อนเร้นความรู้สึก
2.37 ติดอ่าง
2.38 ฝันร้าย
2.39 นอนละเมอ
2.40 หลับยาก
2.41 พูดเพ้อเจ้อ
2.42 ย้ าคิดย้ าท า
2.43 อ่อนเพลียไม่มีแรง
2.44 เหนื่อยง่าย
2.45 เบื่ออาหาร
2.46 กลืนไม่ลง
2.47 หายใจไม่เต็มอิ่ม
2.48 จุกในคอ
2.49 แน่นหน้าอก
2.50 ถอนหายใจ
2.51 กระตุกหรือเกร็งตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
2.52 ท าเสียงในจมูกหรือในคอซ้ า ๆ ซาก ๆ
2.53 เวียนหัว หน้ามืด
2.54 ปวดหัว
2.55 ปวดท้อง
2.56 ปวดข้อ
2.57 ปวดแขน ขา
2.58 ชาตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
2.59 ดูดนิ้ว
2.60 กัดเล็บ
2.61 กัดริมฝีปาก
2.62 ถอนผม
2.63 แกะ เกาจนอาจเป็นผื่นแผลตามตัว
2.64 ปัสสาวะ อุจจาระบ่อยหรือราด
2.65 ปัสสาวะรดที่นอน

3. ลักษณะของเด็กสมาธิสั้น แบ่งเป็นกลุ่มคือ

3.1 กลุ่มซนอยู่ไม่นิ่ง หรือที่ซนมากผิดปกติ(Hyperactivity) กลุ่มที่หุนหันพลันแล่น ขาด
ความยับยั้งชั่งใจ (Impulsive) มีลักษณะดังนี้
3.1.1 ไม่รู้จักระมัดระวังตัวเอง ทำให้เกิดอุบัติเหตุ
3.1.2 ลุกออกจากที่นั่งบ่อย ๆ
3.1.3 ชอบวิ่ง หรือปีนป่าย อยู่ไม่นิ่ง กระสับกระส่าย วุ่นวาย
3.1.4 พูดคุยมากเกินไป
3.1.5 มีความล าบากในการเล่นคนเดียวเงียบ ๆ
3.1.6 ลุกลี้ลุกลน
3.1.7 อารมณ์ร้อน เปลี่ยนแปลงง่าย
3.1.8 ขาดความอดทนในการรอคอย
3.1.9 ชอบพูดขัดจังหวะ รบกวน ช่างฟ้อง

3.2 กลุ่มที่ไม่มีการซน แต่อยู่ไม่นิ่ง เป็นกลุ่มสมาธิบกพร่อง (Inattentive) มีลักษณะดังนี้

4.2.1 มีปัญหาในการทำกิจกรรมตามลำพัง โดยเฉพาะค าสั่งยาว ๆ มีความลำบากใน
การฟังคำสั่งให้ตลอดใจความ
4.2.2 มีความลำบากในการทำงาน หรือเล่นกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งให้ส าเร็จลุล่วงไป
4.2.3 อุปกรณ์ เครื่องใช้เกี่ยวกับการเรียนต่าง ๆ สูญหายบ่อย ๆ
4.2.4 ไม่สนใจสิ่งเร้าส าคัญ แต่ไปสนใจสิ่งเร้าที่ไม่ส าคัญ
4.2.5 ขาดสมาธิ หรือความตั้งใจในการทำกิจกรรมที่มีรายละเอียดปลีกย่อย หรือเรียน
วิชาที่น่าเบื่อหน่ายใช้เวลานาน
4.2.6 ขาดการวางแผนจัดการที่ดี (Disorganized)
4.2.7 มีความลำบากในการทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมองเป็นเวลานาน ๆ (long mental
effort)
4.2.8 มักขี้ลืม ทำของหายเป็นประจ า หรือลืมนัด
4.2.9 ถูกรบกวนจากสิ่งเร้าต่าง ๆ ง่ายมาก วอกแวกง่าย เหม่อลอยหรือช่างฝัน

เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ (Children with Learning Disabilities) 


 เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ หรือเรียกย่อ ๆ ว่า L.D. (Learning Disability) หมายถึง ผู้ที่มี
ปัญหาทางการเรียนรู้เฉพาะอย่าง โดยมีความบกพร่อง หรือปัญหาหนึ่ง หรือมากกว่าหนึ่งอย่าง ใน
กระบวนการทางจิตวิทยาท าให้เด็กเหล่านี้มีปัญหาทางการใช้ภาษา หรือการพูด การเขียน โดยจะ
แสดงออกมาในลักษณะของการน าไปปฏิบัติ ทั้งนี้ไม่นับรวมเด็กที่มีปัญหาเพียงเล็กน้อยทางการ
เรียน ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจาก การขาดแรงเสริม ด้อยโอกาสทางสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม หรือเป็นเพราะครูสอนไม่มีประสิทธิภาพ และไม่นับรวมถึงเด็กที่มีปัญหาเนื่องจากความพิการ หรือความ
บกพร่องทางร่างกาย ซึ่งการจะบอกได้ว่า เด็กคนใดเป็นเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้หรือไม่ จะ
อาศัยเพียงการมองดูนั้นเป็นไปได้ยากมาก เพราะเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ จะต้องอาศัยเรื่อง
ของความแตกต่างของความส าเร็จในการเรียนกับความสามารถที่มีอยู่ว่าห่างกันมากหรือไม่ ด้วย
เหตุนี้ในการพิจารณาเรื่องปัญหาทางการเรียนรู้จึงต้องอาศัยลักษณะร่วมกันคือ เป็นผู้ที่มีระดับ
สติปัญญาปกติ หรือมีสติปัญญาอยู่ในช่วงเช่นเดียวกับเด็กปกติแต่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจะต่ า
กว่าปกติ และจะต้องไม่มีความพิการหรือความบกพร่องในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย
สุขภาพอนามัย ระบบประสาทการสัมผัสและวัฒนธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง

ลักษณะบางอย่างของเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ที่พอสังเกตได้ มีดังนี้

1. แยกความแตกต่างของขนาดและรูปทรงไม่ได้
2. จ ำตัวเลขไม่ได้
3. นับเลขไม่ได้
4. ใช้เครื่องหมายบวก ลบ คูณ หาร ไม่ได้เมื่อเรียนแล้ว
5. ค านวณผิด แม้จะใช้เครื่องหมายถูก
6. มีปัญหาในการเรียนคณิตศาสตร์
7. เข้าใจคำศัพท์น้อยมาก
8. ปฏิบัติตามคำสั่งไม่ได้เพราะไม่เข้าใจค าสั่ง
9. ไม่ตั้งใจฟังครู
10.จ าสิ่งที่ครูพูดให้ฟังไม่ได้
11. เล่าเรื่อง/ล าดับเหตุการณ์ไม่ได้
12. มีปัญหาด้านการอ่าน เช่น อ่านข้ามบรรทัด อ่านไม่ออก อ่านไม่ชัดเจน ไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่อ่าน
13. มีปัญหาด้านการเขียน เช่น เขียนหนังสือไม่เป็นตัว จำตัวอักษรไม่ได้ สะกดคำไม่ได้เขียนบรรยายภาพไม่ได้เลย
14. สับสนเรื่องเวลา
15.กะขนาดไม่ได้
16. ไม่เข้าใจเกี่ยวกับระยะทาง
17. เรียงล าดับมากน้อยไม่ได้
18. เรียงล าดับเหตุการณ์ไม่ได้
19. สับสนเรื่องซ้าย-ขวา หรือบน-ล่าง
20. มองเห็นภาพแต่บอกความแตกต่างของภาพไม่ได้
21.จ าสิ่งที่เห็นไม่ได้
22.จ าสิ่งที่ได้ยินไม่ได้ และแยกเสียงไม่ได้
23. เคลื่อนไหวช้าผิดปกติ
24. เดินงุ่มง่าม
25. หกล้มบ่อย
26.กระโดดสองเท้าพร้อมกันไม่ได้
27. มีปัญหาในการทรงตัวขณะเดิน
28. หยิบจับสิ่งของไม่ค่อยได้จึงท าของหลุดมือบ่อย ซุ่มซ่าม
29. เคลื่อนไหวเร็วอยู่ตลอดเวลา (เร็วผิดปกติ)
30.อยู่นิ่งเฉยไม่ได้
31. รับลูกบอลไม่ได้
32. ติดกระดุมไม่ได้
33. เอาแต่ใจตนเองไม่ฟังความเห็นของเพื่อน
34. เพื่อนไม่ชอบ ไม่อยากให้เข้ากลุ่มด้วย
35.ช่วงความสนใจสั้นมาก (ไม่เกิน 1 นาที)
36.แต่งตัวไม่เรียบร้อยเป็นประจ า
37. ท างานสกปรกไม่เป็นระเบียบ
38.ชอบหลบหน้าไม่ค่อยมีเพื่อน
39. หวงของ ไม่แบ่งปัน
40.ขาดความรับผิดชอบ เลี่ยงงาน
41. มักท างานที่ได้รับมอบหมายไม่ส าเร็จ
42. ส่งงานไม่ตรงเวลา

เด็กออทิสติก (Autistic) 


เด็กออทิสติก หรือบางครั้งเรียกว่า ออทิซึ่ม (Autism) หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง
อย่างรุนแรงในการสื่อความหมาย พฤติกรรม สังคม และความสามารถทางสติปัญญาในการรับรู้
อาการต่าง ๆ จะมีการเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอนเป็นระยะ ๆ ไป เด็กออทิสติกแต่ละคนจะมี
เอกลักษณ์ของตนเอง และย่อมแตกต่างไปจากเด็กคนอื่น ๆ ซึ่งเป็นเด็กออทิสติกเหมือนกัน ทั้งนี้
เป็นเพราะอาการที่เป็นมีความรุนแรงมากน้อยต่างกันไป ประกอบกับเด็กแต่ละคนมีบุคลิกภาพของ
ตัวเองอยู่ด้วย อาการออทิสติกนั้นจะคงอยู่ติดตัวเด็กไปจนเป็นผู้ใหญ่จนตลอดทั้งชีวิต ไม่สามารถ
รักษาให้หายได้หากพิจารณาเปรียบเทียบด้านพัฒนาการของทักษะด้านต่างๆ ของเด็กออทิสติกใน
4 ด้าน คือ ด้านทักษะการเคลื่อนไหว ด้านทักษะการรับรู้เกี่ยวกับรูปทรง ขนาดและพื้นที่ ด้าน
ทักษะภาษาและการสื่อความหมาย และด้านทักษะทางสังคม จะพบว่าเด็กออทิสติกจะมี
พัฒนาการด้านภาษา และพัฒนาการด้านสังคมต่ ามาก แต่จะมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหว
ด้านการรับรู้รูปทรง ขนาดและพื้นที่โดยเฉลี่ยสูงถ้าความแตกต่างระหว่างทักษะด้านภาษา และ
สังคมยิ่งต่ ากว่า ทักษะด้านการเคลื่อนไหว และการรับรู้รูปทรงมากเท่าใดความเป็นไปได้ของออทิ
สติกก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น พัฒนาการที่ผิดปกตินี้ ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงตลอดชีวิต ซึ่ง
ปกติปรากฎในระยะ 3 ปี แรกของชีวิต

ลักษณะของเด็กออทิสติก มีดังนี้

1.อยู่ในโลกของตนเอง คือไม่สนใจต่อความรู้สึกของคนอื่น มองเห็นคนอื่นเป็นเสมือนวัตถุหรือมองเลยไปที่วัตถุที่เขาสนใจเท่านั้น
2. ไม่สนใจที่จะเข้าไปหาใครเพื่อให้ปลอบใจ เมื่อเกิดการหกล้ม หรือเจ็บจะส่งเสียงร้องเพียงชั่วขณะแล้วจะหยุดหายอย่างปลิดทิ้งไปเลย
3. ไม่เข้าไปเล่นในกลุ่มเพื่อน ๆ หรือไม่เล่นเลียนแบบเด็กอื่น ๆ
4. ไม่ยอมพูด ส่วนการเล่นเสียงจะไม่มีแบบแผนแน่นอน อาจแตกต่างกันไปในแต่ละวัน
5. เคลื่อนไหวแบบซ้ า ๆ ซาก ๆ อยู่อย่างเดียวบ่อยจนผิดปกติ
6. ยึดติดวัตถุ สิ่งของอย่างใดอย่างหนึ่ง มักถือเดินไปเรื่อย ๆ หรือเก็บไว้เป็นส่วนตัว ถ้าถูก
แย่งไปจะร้องลั่น
7. ต่อต้าน หรือแสดงกิริยาอารมณ์รุนแรง และไร้เหตุผล
8. มีทีท่าเหมือนคนหูหนวก
9. ท่าทางไม่รู้สึกรับรู้ต่อสิ่งเร้าที่มากระตุ้น
10.ใช้วิธีการสัมผัส และเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ด้วยวิธีการที่ต่างจากคนทั่วไป เช่น ใช้วิธีการดมการชิม เป็นต้น



เด็กพิการซ้อน (Children with Multiple Handicaps) 

 เด็กบกพร่องซ้อน หมายถึง ผู้ที่มีความบกพร่องที่มากกว่าหนึ่งอย่าง เป็นเหตุให้เกิดปัญหา
ขัดข้องในการเรียนรู้อย่างมาก เช่น ปัญญาอ่อน – ตาบอด ปัญญาอ่อน-ร่างกายพิการ หูหนวก-ตา
บอด ฯลฯ


วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน 2556

บันทึการเข้าเรียนครั้งที่ 3
เนื้อหาที่เรียน

-อาจาย์สอนเนื้อหาต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว เด็กที่มีความต้องการพิเศษ

เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ (Children with Physical and Health Impairments) 

เด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ หมายถึง ผู้ที่มีอวัยวะไม่สมส่วน อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งหรือหลายส่วนหายไป กระดูกกล้ามเนื้อพิการ เจ็บป่วยเรื้อรังรุนแรงหรือเฉียบพลัน มีความพิการทางระบบประสาทสมอง มีความล าบากในการเคลื่อนไหวจนเป็นอุปสรรคต่อการศึกษาเล่าเรียน และการท ากิจกรรมของเด็ก จำแนกได้ดังนี้ 

1. อาการบกพร่องทางร่างกาย ที่มักพบบ่อย ได้แก่ 

1.1 ซีพี หรือ ซีรีบรัล พัลซี่ (C.P. : Cerebral Palsy) หมายถึง การเป็นอัมพาตเนื่องจากระบบประสาทสมองพิการ หรือเป็นผลมาจากสมองที่ก าลังพัฒนาถูกท าลายก่อนคลอด ระหว่างคลอด หรือหลังคลอด

ซึ่งท าให้เกิดกลุ่มอาการผิดปกติอย่างถาวรจนท าให้การควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อสูญเสีย หรือบกพร่อง เช่น การเคลื่อนไหว การพูด พัฒนาการล่าช้า เด็กซีพี มีความบกพร่องที่เกิดจากส่วนต่าง ๆ ของสมองแตกต่างกัน ที่พบส่วนใหญ่ คือ 
1.1.1 อัมพาตเกร็งของแขนขา หรือครึ่งซีก (Spastic)1.1.2 อัมพาตของลีลาการเคลื่อนไหวผิดปกติ(Athetoid) จะควบคุมการเคลื่อนไหวและบังคับให้ไปในทิศทางที่ต้องการไม่ได้ 
1.1.3 อัมพาตสูญเสียการทรงตัว (Ataxia) การประสานงานของอวัยวะไม่ดี 
1.1.4 อัมพาตตึงแข็ง (Rigid) การเคลื่อนไหวแข็งช้า ร่างกายมีอาการสั่นกระตุกอย่างบังคับไม่ได้ 
1.1.4 อัมพาตแบบผสม (Mixed) 

1.2 กล้ามเนื้ออ่อนแรง (Muscular Distrophy) เกิดจากประสาทสมองที่ควบคุมส่วนของกล้ามเนื้อส่วนนั้น ๆ เสื่อมสลายตัว โดยไม่ทราบสาเหตุ ท าให้กล้ามเนื้อแขนขาจะค่อย ๆ อ่อนกำลัง เด็กจะเดินหกล้มบ่อย เดินเขย่งปลายเท้า ขาไม่มีแรงต้องใช้การท้าวโต๊ะหรือเก้าอี้เพื่อลุกยืนขึ้นหรือพยุงตัว อาการอาจเลวลงช้าหรือเร็วตามสภาพของเซลล์กล้ามเนื้อที่เสื่อมสมรรถภาพ และจะทำให้เดินไม่ได้ นั่งไม่ได้ ท้ายที่สุดต้องนอนอยู่กับที่ ซึ่งจะมีความพิการซ้อนในระยะหลัง คือ ความจำเลวลง สติปัญญาเสื่อม 


1.3 โรคทางระบบกระดูกกล้ามเนื้อ (Orthopedic) ที่พบบ่อย ได้แก่ 

 1.3.1 ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการแต่ก าเนิด เช่น เท้าปุก (Club Foot) กระดูกข้อสะโพกเคลื่อน อัมพาตครึ่งท่อนเนื่องจากกระดูกไขสันหลังส่วนล่างไม่ติด (Spina Bifida) ท าให้เกิดความพิการของประสาทไขสันหลังส่วนนั้น ๆ สูญเสียความรู้สึกเจ็บปวด กลั้นอุจจาระ ปัสสาวะไม่ได้ อาจมีน้ าคั่งในสมอง และกระดูกเท้าพิการ เด็กประเภทนี้จะยืน เดินโดยใช้กายอุปกรณ์เสริม 
 1.3.2 ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการด้วยโรคติดเชื้อ (Infection) เช่น วัณโรค กระดูก หลัโกง กระดูกผุ เป็นแผลเรื้อรังมีหนอง เศษกระดูกผุท าให้กระดูกส่วนนั้นพิการ ขาสั้นเพราะการเจริญของกระดูกขาหยุดชะงัก 
 1.3.3 กระดูกหัก ข้อเคลื่อน ข้ออักเสบ มีความพิการเนื่องจากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง หรือทันท่วงทีภายหลังได้รับบาดเจ็บ 
1.4 โปลิโอ (Poliomyelitis) เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งเข้าสู่ร่างกายทางปาก แล้วไปเจริญที่ต่อมน้ำเหลืองในล าคอ ล าไส้เล็ก และเข้าสู่กระแสเลือดจนถึงระบบประสาทส่วนกลาง เมื่อเซลล์ประสาทบังคับกล้ามเนื้อถูกท าลาย แขนหรือขาจะไม่มีก าลังในการเคลื่อนไหว ต่อมาทำให้มีอาการกล้ามเนื้อลีบเล็ก แต่ไม่มีผลกระทบต่อสติปัญญา เพียงพิการแขนขา ยืนไม่ได้หรืออาจปรับสภาพให้ยืนเดินได้ด้วยกายอุปกรณ์เสริม 

1.5 แขนขาด้วนแต่กำเนิด (Limb Deficiency) รวมถึงเด็กที่เกิดมาด้วยลักษณะของอวัยวะที่มีความเจริญเติบโตผิดปกติ เช่น นิ้วมือติดกัน 3-4 นิ้ว มีแค่แขนท่อนบนต่อกับนิ้วมือ ไม่มีข้อศอก หรือเด็กที่แขนขาด้วนเนื่องจากประสบอุบัติเหตุ และการเกิดอันตรายในวัยเด็ก หากเด็กที่มีความพิการมาแต่ก าเนิดและได้รับการใส่กายอุปกรณ์เทียมเมื่ออายุยังน้อยจะสามารถปรับตัวได้ง่ายและดี แต่เด็กที่มีความพิการภายหลังถึงแม้จะได้รับการบ าบัดรักษา ปรับสภาพ และฟื้นฟูสมรรถภาพจนสามารถเดินและใช้มือได้ด้วยกายอุปกรณ์เทียมแล้ว เด็กเหล่านี้ยังต้องการปรับตัว ปรับใจอีกระยะหนึ่ง 


1.6 โรคกระดูกอ่อน (Osteogenesis Imperfeta) เป็นผลท าให้เด็กไม่เจริญเติบโตสมวัย ตัวเตี้ย มีลักษณะของกระดูกผิดปกติ กระดูกยาวบิดเบี้ยวเห็นได้ชัดจากกระดูกหน้าแข้ง 


 2. ความบกพร่องทางสุขภาพ ที่มักพบบ่อย ได้แก่ 


2.1 โรคลมชัก (Epilepsy) เป็นลักษณะอาการที่เกิดเนื่องมาจากความผิดปกติของระบบสมอง ที่พบบ่อยมีดังนี้ คือ 
 2.1.1 ลมบ้าหมู (Grand Mal) เมื่อเกิดอาการชักจะท าให้หมดสติ และหมดความรู้สึกในขณะชักกล้ามเนื้อเกร็งหรือแขนขากระตุก กัดฟัน กัดลิ้น อาการชักอาจชักเป็นระยะสั้นหรือชักนานหลายนาที ชักครั้งเดียวหรือชักหลายครั้งติดต่อกัน ภายหลังการชักเด็กจะซึม อ่อนเพลียหรือหลับ และจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างชักไม่ได้ 
 2.1.2 การชักในช่วงเวลาสั้น ๆ (Petit Mal) เป็นอาการชักชั่วระยะเวลาสั้น ๆ 5-10 วินาที เมื่อเกิดอาการชัก และหยุดชักเด็กจะหยุดชะงักในท่าก่อนชัก เด็กจะนั่งเฉย หรือเด็กอาจจะตัวสั่น
เล็กน้อย หลังจากนั้นก็จะเรียนหนังสือหรือท ากิจกรรมต่อได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  2.1.3 การชักแบบรุนแรง (Grand Mal) เมื่อเกิดอาการชัก เด็กจะส่งเสียง หมดความรู้สึกล้มลง กล้ามเนื้อเกร็ง 
เกิดขึ้นราว 2-5 นาทีจากนั้นจะหาย และนอนหลับไปชั่วครู่
 2.1.4 อาการชักแบบพาร์ชัล คอมเพล็กซ์ (Partial Complex) บางครั้งเรียกไซโคมอเตอร์ (Psychomotor) หรือเทมปอรัลโลบ (Temporal Lobe) เกิดอาการเป็นระยะ ๆ ตั้งแต่ไม่กี่วินาทีจนถึงหลาย ๆ ชั่วโมง ระหว่างมีอาการชักอาจกัดริมฝีปาก ท าท่าทางบางอย่างคล้ายไม่ตั้งใจ ไม่รู้สึกตัว ถูตามแขนขา เดินไปมา บางคนอาจเกิดความโกรธหรือโมโห หลังชักอาจจ าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ และต้องการนอนพัก 
2.1.5 อาการไม่รู้สึกตัว (Focal Partial) เป็นอาการที่เกิดขึ้นในระยะสั้น เด็กไม่รู้สึกตัว อาจทำอะไรบางอย่างโดยที่ตัวเองไม่รู้ เช่น ร้องเพลง ดึงเสื้อผ้า เดินเหม่อลอย แต่ไม่มีอาการชัก 
 2.2 โรคระบบทางเดินหายใจโดยมีอาการเรื้อรังของโรคปอด (Asthma) เช่น หอบหืด วัณโรค ปอดบวม ซึ่งมีทั้งที่มีอาการรุนแรงหรือที่เป็นระยะยาวจนเกิดโรคแทรกซ้อน ปอดแฟบ 
 2.3 โรคเบาหวานในเด็ก เกิดจากร่างกายไม่สามารถใช้กลูโคสได้อย่างปกติ เพราะขาดอินซูลิน 
 2.4 โรคข้ออักเสบรูมาตอย มีอาการปวดตามข้อเข่า ข้อเท้า ข้อศอก ข้อนิ้วมือ 
 2.5 โรคศีรษะโตเนื่องจากน้ าคั่งในสมอง ส่วนมากเป็นมาแต่ก าเนิด ถ้าได้รับการวินิจฉัยโรคเร็วและรับการรักษาอย่างถูกต้องสภาพความพิการจะไม่รุนแรง เด็กสามารถปรับสภาพได้และมีพื้นฐานทางสมรรถภาพดีเช่นเด็กปกติ แต่ถ้าไม่ได้รับการรักษาจะมีอาการอัมพาตของแขนขา สติปัญญาบกพร่องหรือมีอาการชักบ่อย ๆ 
 2.6 โรคหัวใจ (Cardiac Conditions) ส่วนมากเป็นตั้งแต่ก าเนิด เด็กจะตัวเล็กเติบโตไม่สมอายุ ซีดเซียว เหนื่อยหอบง่าย อ่อนเพลีย ไม่แข็งแรงตั้งแต่ก าเนิด ที่มีอาการมากปากจะเขียว เล็บมือเล็บเท้าเขียว ถ้าได้รับการผ่าตัดรักษาในวัยทารกเด็กจะมีสุขภาพสมบูรณ์เหมือนคนปกติ 
2.7 โรคมะเร็ง (Cancer) ส่วนมากเป็นมะเร็งเม็ดโลหิต และเนื้องอกในดวงตา สมอง กระดูกและไต 
2.8 บาดเจ็บแล้วเลือดไหลไม่หยุด (Hemophilia) 

ลักษณะบางอย่างของเด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพที่พอสังเกตได้แบ่งเป็น


1. ลักษณะของเด็กบกพร่องทางร่างกาย มีดังนี้

1.1 แสดงความผิดปกติทางร่างกายเป็นที่น่าสังเกตอย่างเด่นชัด
1.2 มีปัญหาเกี่ยวกับการทรงตัว
1.3 เท้าบิดผิดรูป
1.4 กระดูกสันหลังโค้งงอ
1.5 กลไกเคลื่อนไหวมีปัญหา
1.6 ท่าเดินคล้ายกรรไกร คือเข่าชิดปลายเท้าแยกจากกัน
1.7 สวมรองเท้าขาเหล็ก หรือเบรส
1.8 สูญเสียการควบคุมกลไกกล้ามเนื้อ หรือการประสานงานของร่างกาย
1.9 อาการเคลื่อนไหวสั่น หรือกระตุก
1.10 การทรงตัวของร่างกายทั้งสองข้างไม่สมดุลกัน
1.11 ความผิดปกตินั้นเกี่ยวกับหน้าที่การใช้งานตามปกติของระบบกระดูกกล้ามเนื้อหรือข้อต่อ
1.12 เดินขากะเผลก หรืออึดอาดเชื่องช้า

2. ลักษณะของเด็กบกพร่องทางสุขภาพ มีดังนี้

2.1 มีอาการเหนื่อยง่าย
2.2 มีความผิดปกติจนไม่สามารถเข้าร่วมกลุ่มกับเพื่อนได้ หรือถูกหัวเราะเยาะ
กลายเป็นตัวตลก2.3 มักกระสับกระส่าย และอยู่ไม่สุข
2.4 ชักช้า และขาดความคล่องแคล่ว
2.5 มักหายใจขัดหลังการออกก าลังกาย
2.6 ไอเสียงแห้งบ่อย ๆ
2.7 มักบ่นเจ็บหน้าอกภายหลังการท างานโดยใช้ร่างกาย
2.8 หน้าแดงง่าย มีสีเขียวจางบนแก้ม ริมฝีปากและ/หรือปลายนิ้ว
2.9 อาการไข้ต่ า ๆ เป็นหวัดบ่อย ๆ
2.10 เกิดชักอย่างกระทันหัน
2.11 ขาดสมาธิหรือขาดความตั้งใจแน่วแน่
2.12 เป็นลมง่าย
2.13 บ่นว่าเจ็บภายในแขน ขาและหรือข้อต่อ
2.14 หิวและกระหายน้ าอย่างเกินกว่าเหตุ
2.15 ท่าเดินผิดปกติ
2.16 ศีรษะโคลงไปมา
2.17 ก้าวขึ้นบันไดด้วยความยากล าบาก
2.18 ท่ายืนผิดปกติ
2.19 บ่นปวดหลัง

2.20 หกล้มบ่อย ๆ

เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา (Children with Speech and Language Disorders) 
 การพูดและภาษาเป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน ทั้งนี้เพราะการพูดเป็นการแสดงออกทางภาษา ดังนั้นเด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา จึงหมายถึง ผู้ที่พูดไม่ชัด และลีลาจังหวะการพูดผิดปกติ ออกเสียงผิดเพี้ยน อวัยวะที่ใช้ในการพูดไม่สามารถเป็นไปตามล าดับขั้น การใช้อวัยวะเพื่อการพูดไม่เป็นไปดังตั้งใจ ค าพูดที่ยากหรือซับซ้อนหรือยาวจะยิ่งมีปัญหามากหรือมีอาการพูดและใช้ภาษาที่ผิดปกติ โดยการพูดนั้นเห็นได้ชัดว่าผิดแปลกไปจากการพูดของคนทั่วไป ท าให้ฟังไม่รู้เรื่อง สื่อความหมายต่อกันไม่ได้ หรือมีอากัปกิริยาที่ผิดปกติขณะพูด ซึ่งความบกพร่องทางการพูดและภาษาสามารถจำแนกได้ดังนี้ คือ 

 1. ความผิดปกติด้านการออกเสียง 

1.1 ออกเสียงผิดเพี้ยนไปจากมาตรฐานของภาษาเดิม เช่น พูดเสียงขึ้นจมูก
เนื่องมาจากอิทธิพลของภาษาถิ่น 
1.2 เพิ่มหน่วยเสียงเข้าในค าโดยไม่จำเป็น 
1.3 เอาเสียงหนึ่งมาแทนอีกเสียงหนึ่ง เช่น กวาดฟาด 
2. ความผิดปกติด้านจังหวะเวลาของการพูด เช่น การพูดรัว การพูดติดอ่าง 
3. ความผิดปกติด้านเสียง 
3.1 ระดับเสียง เช่น การพูดเสียงสูงเกินไป ต่ าเกินไป หรือพูดระดับเสียงเดียวกันหมด 
3.2 ความดัง เช่น พูดเสียงดังมาก หรือเบามากจนเกินไป 
3.3 คุณภาพของเสียง เช่น พูดเสียงแตกพร่า เสียงแหบ เสียงหอบ เสียงขึ้นจมูก เสียง
แปร่ง 4. ความผิดปกติทางการพูดและภาษาอันเนื่องมาจากพยาธิสภาพที่สมอง โดยทั่วไป
เรียกว่าDysphasia หรือ aphasia ที่ควรรู้จักได้แก่
 4.1 Motor aphasia (Expressive หรือ Broca’s apasia) หมายถึงผู้ที่เข้าใจค าถาม หรือ
ค าสั่ง แต่พูดไม่ได้ ออกเสียงล าบาก พูดช้า ๆ พอพูดตามได้บ้างเล็กน้อย บอกชื่อสิ่งของพอได้ แต่
พูดไม่ถูกไวยากรณ์ 
 4.2 Wernicke’s aphasia (Sensory หรือ Receptive aphasia) หมายถึงผู้ที่ไม่เข้าใจค าถาม 
หรือค าสั่ง ได้ยินแต่ไม่เข้าใจความหมาย (word deafness) ผู้ที่ออกเสียงไม่ติดขัด แต่มักใช้ค าผิด ๆ 
หรือใช้ค าอื่นซึ่งไม่มีความหมายมาแทน (Paraphasia) ผู้ที่มักจะพูดตามไม่ได้ (Anomia) ผู้ที่ไม่
เข้าใจภาษาเขียน หรือ tactile speech symbol (word blindness) 
 4.3 Conduction aphasia หมายถึงผู้ที่ออกเสียงได้ไม่ติดขัด เข้าใจค าถามดี แต่พูดตาม
หรือบอกชื่อสิ่งของไม่ได้ มักเกิดร่วมไปกับอัมพาตของร่างกายซีกขวา 
 4.4 Nominal aphasia (Anomic aphasia) หมายถึงผู้ที่ออกเสียงได้ เข้าใจค าถามดี พูด
ตามได้ แต่บอกชื่อวัตถุไม่ได้ เพราะลืมชื่อ บางทีก็ไม่เข้าใจความหมายของค า มักเกิดร่วมไปกับ 
Gerstmann’s syndrome 
 4.5 Global aphasia หมายถึงผู้ที่ไม่เข้าใจทั้งภาษาพูด และภาษาเขียน พูดไม่ได้เลย 
 4.6 Sensory agraphia หมายถึงผู้ที่เขียนเองไม่ได้ เขียนตอบค าถามหรือเขียนชื่อวัตถุก็
ไม่ได้ มักเกิดร่วมกับ Gerstmann’s syndrome 
 4.7 Motor agraphia หมายถึงผู้ที่ลอกตัวเขียนหรือตัวพิมพ์ไม่ได้ และเขียนตามค าบอก
ไม่ได้ เพราะมี apraxia ของมือ 
 4.8 Cortical alexia (Sensory alexia) หมายถึงผู้ที่อ่านไม่ออก เพราะไม่เข้าใจภาษา 
 4.9 Motor alexia หมายถึงผู้ที่เห็นตัวเขียนหรือตัวพิมพ์ เข้าใจความหมาย แต่อ่านออก
เสียงไม่ได้ 
4.10 Gerstmann’s syndrome หมายถึงผู้ที่ไม่รู้ชื่อนิ้ว (finger agnosia) ไม่รู้ซ้ายขวา
(allochiria) ท าค านวณไม่ได้(acalculia) เขียนไม่ได้(agraphia) อ่านไม่ออก (alexia)
 4.11 Visual agnosia หมายถึงผู้ที่มองเห็นวัตถุ แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร บางทีบอกชื่อนิ้วตัวเอง
ไม่ได้ (finger agnosia) 
 4.12 Auditory agnosia (word deafness) หมายถึงผู้ที่ไม่มีความบกพร่องทางการได้ยินแต่
แปลความหมายของค า หรือประโยคที่ได้ยินไม่เข้าใจ 

ลักษณะบางอย่างของเด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษาที่พอสังเกตได้มีดังนี้

1. เมื่ออยู่ในวัยทารกมักเงียบผิดธรรมชาติร้องไห้เบา ๆ และอ่อนแรง
2. ไม่อ้อแอ้ภายในอายุ 10 เดือน
3. ไม่พูดภายในอายุ 2 ขวบ
4. หลัง 3 ขวบแล้วภาษาพูดของเด็กก็ยังฟังเข้าใจยาก
5. ออกเสียงตัวสะกดไม่ได้
6. หลัง 5 ขวบ เด็กยังคงใช้ภาษาที่เป็นประโยคไม่สมบูรณ์ในระดับประถมศึกษา
7. มีปัญหาในการสื่อความหมาย พูดตะกุกตะกัก
8. ใช้ท่าทางในการสื่อความหมาย


วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน 2556

บันทึการเข้าเรียนครั้งที่ 2
เนื้อหาที่้เรียน

ความหมายของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ

 ทางการแพทย์ มักจะเรียกเด็กที่มีความต้องการพิเศษเหล่านี้ว่า เด็กพิการ ดังนั้นเด็กที่มีความต้องการพิเศษจึงหมายถึง ผู้ที่มีความผิดปกติ ผู้ที่มีความบกพร่อง หรือผู้ที่มีการสูญเสียสมรรถภาพ อาจเป็นความผิดปกติ ความบกพร่องทางกาย หรือการสูญเสียสมรรถภาพทางสติปัญญา ทางจิตใจ เนื้อเยื่อหรือระบบเส้นประสาทก็ได้ ซึ่งความผิดปกติ ความบกพร่อง หรือการสูญเสีย
สมรรถภาพเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของเขา ทำให้เขาไม่สามารถปฏิบัติภารกิจได้ดีเท่ากับคนปกติ แต่หากมีการแก้ไขอวัยวะที่บกพร่องไปให้สามารถใช้งานได้ดังเดิมแล้ว สภาพความบกพร่องอาจหมดไป  
 ทางการศึกษา ให้ความหมายเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า หมายถึงเด็กที่มีความต้องการทางการศึกษาเฉพาะของตัวเอง ซึ่งจำเป็นต้องจัดการศึกษาให้ต่างไปจากเด็กปกติทางด้านเนื้อหา หลักสูตร กระบวนการที่ใช้ และการประเมินผล 

ประเภทและลักษณะของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ แบ่งได้2กลุ่มใหญ่คือ

1. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง หรือมีความเป็นเลิศทางสติปัญญา ซึ่งเรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า เด็กปัญญาเลิศ กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่สามารถพัฒนาตนเองได้ดี เพราะเป็นผู้ที่มความสามารถทางสติปัญญา และ/หรือความถนัดเฉพาะทาง เมื่อเทียบกับระดับพัฒนาการในด้านต่าง ๆ กับเกณฑ์เฉลี่ยของเด็กในช่วงอายุเดียวกันแล้วพบว่า สูงกว่าค่าเฉลี่ย หรือเร็วกว่าค่าเฉลี่ยที่มีการกำหนดไว้ ทั้งในด้านการรับรู้ และความสามารถในการแก้ปัญหา ด้านปริมาณและคุณภาพ เมื่อทำการทดสอบระดับสติปัญญาจะพบว่าระดับสติปัญญาสูงกว่า 120 ขึ้นไป 

2.กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง ด้อยความสามารถ หรือมีปัญหา เด็กเหล่านี้มักจะเรียนรู้ได้ช้า และมีปัญหาในการเรียนรู้ ตลอดจนการพัฒนาด้านต่างๆ เป็นไปได้ไม่เท่าเทียมกับเกณฑ์เฉลี่ยของเด็กเมื่อเทียบกับเด็กในช่วงระดับอายุเดียวกัน ดังนั้นการจะให้การศึกษา หรือการจะพัฒนาเด็กกลุ่มนี้ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจ และให้การช่วยเหลือเป็นพิเศษตามความเหมาะสม 
ซึ่งจำแนกได้เป็น 8 ประเภท คือ 
2.1 เด็กบกพร่องทางสติปัญญา 
2.2 เด็กบกพร่องทางการได้ยิน 
2.3 เด็กบกพร่องทางการเห็น 
2.4 เด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ 
2.5 เด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา 
2.6 พร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ 
2.7 เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ 
2.8 เด็กออทิสติก 
2.9 เด็กพิการซ้อน 
2.10(เด็กปัญญาเลิศ) 

เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา (Children with Intellectual Disabilities) 
เด็กบกพร่องทางสติปัญญา หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญา หรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบเด็กในระดับอายุเดียวกัน มี 2 กลุ่ม คือ 

1. เด็กเรียนช้า หมายถึง เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติจัดเป็นพวกขาดทักษะในการเรียนรู้ หรือมีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย เด็กเหล่านี้จะมีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ 71-90 
2. เด็กปัญญาอ่อน หมายถึง เด็กที่มีภาวะพัฒนาการของจิตใจหยุดชะงัก หรือเจริญไม่เต็มที่ ซึ่งแสดงลักษณะเฉพาะ คือ มีระดับสติปัญญาต่ า มีความสามารถในการเรียนรู้น้อย มีพัฒนาการทางกายล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย มีความสามารถจ ากัดในการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม และสังคม เด็กปัญญาอ่อนแบ่งตามระดับสติปัญญา (IQ) ได้ 4 กลุ่ม คือ 

 2.1 เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก มีระดับสติปัญญา (IQ) ต่ ากว่า 20 ลงไป ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่าง ๆ ได้เลย ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น 

2.2 เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก มีระดับสติปัญญา (IQ) ระหว่าง 20-34 ไม่สามารถเรียนได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจ าวันเบื้องต้นง่าย ๆ 

 2.3 เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง มีระดับสติปัญญา (IQ) ระหว่าง 35-49 พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่าย ๆ ได้ สามารถฝึกอาชีพ หรือท างานง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดละออได้ เรียกโดยทั่วไปว่า T.M.R (Trainable Mentally Retarded) 

 2.4 เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย มีระดับสติปัญญา (IQ) ระหว่าง 50-70 กลุ่มนี้พอจะเรียนในระดับประถมศึกษาได้ และสามารถฝึกอาชีพและงานง่าย ๆ ได้เรียกโดยทั่วๆไปว่า E.M.R (Educable Mentally Retarded)


ลักษณะบางอย่างของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาที่พอสังเกตได้ดังนี้

1. พัฒนาการทางร่างกาย ภาษา อารมณ์และสังคม เช่น การชันคอ การนั่ง การยืน การเดินทำได้ไม่สมกับวัย

2. ไม่พูด หรือพูดได้ไม่สมวัย
3. ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
4. ขาดความสนใจในสิ่งที่เฉพาะเจาะจง
5. ความคิด และอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย
6. อดทนต่อการรอคอยน้อย
7. ทำงานช้า
8. ทำอะไรรุนแรง ไม่มีเหตุผล ไม่ถูกกาลเทศะ
9. ความเข้าใจจากการฟังดีกว่าจากการอ่าน
10.การจ าตัวอักษร หรือข้อความน้อยกว่าวัย
11.มักมีปัญหาทางการพูด
12.อวัยวะภายนอกบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ
13.กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
14.ไม่สามารถปรับตัวได้
15.ไม่สามารถช่วยตนเองได้เมื่อเปรียบเทียบกับวัยเดียวกัน
16.ชอบเล่นกับเด็กที่มีอายุน้อยกว่า


เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน (Children with Hearing Impaired ) 

 เด็กบกพร่องทางการได้ยิน หมายถึง ผู้ที่มีความบกพร่อง หรือสูญเสียการได้ยิน เป็นเหตุให้
การรับฟังเสียงต่าง ๆ ได้ไม่ชัดเจน มี 2 ประเภท คือ 
1. เด็กหูตึง หมายถึง ผู้ที่สูญเสียการได้ยินถึงขนาดที่ท าให้มีความยากล าบากจนไม่
สามารถเข้าใจค าพูด และการสนทนา แต่ไม่ถึงกับหมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
ด้วยหูเพียงอย่างเดียว โดยไม่มี หรือมีเครื่องช่วยฟัง แบ่งตามระดับการได้ยิน ซึ่งอาศัยเกณฑ์การพิจรณาอัตราความบกพร่องของหู โดยใช้ค่าเฉลี่ยการได้ยินที่ความถี่ 500 , 1000 และ 2000 รอบ
ต่อวินาที (เฮิร์ท : Hz) ในหูข้างที่ดีกว่า จำแนกได้ 4 กลุ่ม คือ
1.1 เด็กหูตึงระดับน้อย มีการได้ยินเฉลี่ยระหว่าง 26-40 เดซิเบล(dB)เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบา ๆ เช่น เสียงกระซิบ หรือเสียงจากที่ไกล ๆ 
1.2 เด็กหูตึงระดับปานกลาง มีการได้ยินเฉลี่ยระหว่าง 41-55 เดซิเบล (dB)เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติที่มีระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด ดังนั้นเมื่อพูดคุยด้วยเสียงธรรมดาก็จะไม่ได้ยิน หรือได้ยินไม่ชัดจับใจความไม่ได้และมีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียเบา หรือเสียงผิดปกติ 
 1.3 เด็กหูตึงระดับมาก มีการได้ยินเฉลี่ยระหว่าง 56-70 เดซิเบล(dB)เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด 
1.4 เด็กหูตึงระดับรุนแรง มีการได้ยินเฉลี่ยระหว่าง 71-90 เดซิเบล (dB) เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก เด็กจะสามารถได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูในระยะ 1 ฟุตการพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียงจึงจะได้ยินเด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติบางคนไม่พูด 
2. เด็กหูหนวก หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยินด้วยหูเพียงอย่างเดียว โดยไม่มี หรือมีเครื่องช่วยฟังจนเป็นเหตุให้ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้ หากไม่ได้รับการฝึกฝนเป็นพิเศษ ถ้าวัดระดับการได้ยินแล้วจะมีการได้ยินตั้งแต่ 91 เดซิเบล (dB)ขึ้นไป

ลักษณะบางอย่างของเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินที่พอสังเกตได้มีดังนี้

1. ไม่ตอบสนองเมื่อเรียก

2. มักตะแคงหูฟัง
3. ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
4. พูดไม่ชัด เสียงผิดปกติ
5. พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
6. พูดมีเสียงแปลก มักเปล่งเสียงสูง
7. พูดด้วยเสียงต่าง หรือด้วยเสียงที่ดังเกินความจำเป็น
8. เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูด หรือจ้องหน้าผู้พูด
9. รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวรอบตัว
10.ไม่มีปฏิกิริยาต่อเสียงดัง เสียงพูด เสียงดนตรีหรือมีบ้างเป็นบางครั้ง
11.ไม่ชอบร้องเพลง ไม่ชอบฟังนิทาน แต่แสดงการตอบสนองอย่างสม่ำเสมอต่อเสียงดังใน
ระดับที่เด็กได้ยิน
12. มักทำหน้าเด๋อเมื่อมีการพูดด้วย
13. ไม่พูดเมื่อมีสิ่งเร้าใจจากสภาพแวดล้อม
14. ซน ไม่มีสมาธิ
15. ไม่สามารถปฏิบัติตามค าสั่งได้
16. มีความลำบากในการอ่านหนังสือ
17. ไม่ตอบคำถาม
18.อาจมีปัญหาทางอารมณ์และสังคม

เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็น (Children with Visual Impairments Children)  
 เด็กบกพร่องทางการเห็น หมายถึง ผู้ที่มองไม่เห็น หรือพอเห็นแสง เห็นเลือนลาง และมีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง โดยมีความสามารถในการเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ หลังจากที่ได้รับการรักษาและแก้ไขทางการแพทย์แล้ว หรือมีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา เด็กบกพร่องทางการเห็นจ าแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ 
 1. เด็กตาบอด หมายถึง เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรืออาจมองเห็นบ้างไม่มากนัก 
ไม่สามารถใช้สายตา หรือไม่มีการใช้สายตาให้เป็นประโยชน์ในการเรียนการสอน หรือการท า
กิจกรรมได้แต่จะต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นแทนในการเรียนรู้ และหากมีการทดสอบสายตาเด็ก
ประเภทนี้จะพบว่า มีสายตาข้างดีสามารถมองเห็นได้ในระยะ 20/200 หรือน้อยกว่านั้น และมีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดจะแคบกว่า 5 องศา 
 2. เด็กตาบอดไม่สนิท หรือบอดบางส่วน สายตาเลือนลาง หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตาสามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ เมื่อทดสอบสายตาเด็กประเภทนี้จะมีสายตาข้างดีสามารถมองเห็นได้ในระยะ 20/60 หรือน้อยกว่านั้น และมีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดจะกว้างสูงสุดจะกว้างไม่เกิน 30 องศา 

ลักษณะบางอย่างของเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นที่พอสังเกตได้มีดังนี้


1. เดินงุ่มง่าม ชนและสะดุดวัตถุ

2. ไม่สนใจในสิ่งที่ต้องใช้สายตา เช่น การเล่นซ่อนหา
3. มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
4. มักบ่นว่าปวดศรีษะ คลื่นไส้ตาลาย คันตา มองเห็นเลือนลาง
5. ก้มศรีษะชิดกับงาน หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
6. ขาดความสนใจ เหม่อลอย
7. เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่งเมื่อใช้สายตา
8. ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน

9. ลำบากในเรื่องการใช้บันได ใส่กระดุม ผูกเชือกรองเท้า อ่านและเขียนหนังสือ
10.มีความลำบากในการจำ และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต

สิ่งที่ได้รับจากการเรียนรู้

วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน 2556

บันทึการเข้าเรียนครั้งที่ 1

เนื้อหาที่เรียน

-วันนี้เป็นวันแรกที่เรียนวิชาการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ
-อาจารย์ผู้สอน อ.ตฤณ แจ่มถิ่น  อาจารย์แจกแนวการสอน และอธิบายถึงรายละเอียดของวิชา และการเก็บคะแนน
*อาจารย์ ให้ทำงานใส่กระดาษA4 เกี่ยวกับเด็กพิเศษ เพื่อ ทบทวนความรู้เดิม ว่าเรารูจักเด็กพิเศษแค่ไหน
สะท้อนสิ่งที่ได้รับจากการเรียนรู้
ในการเรียนแต่ละครั้งเราต้องมีการเตรียมตัวมาก่อน และทำความเข้าใจเกี่ยวกับเด็กพิเศษ
**งานที่ได้รับ
ในการเรียนแต่ละครั้งต้องมีการบันทึกอนุทิน ลงบล็อกด้วย