บันทึการเข้าเรียนครั้งที่ 4
เนื้ิอหาที่้เรียน
อาจารย์สอนต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว
เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ (Children with Behaviorally and Emotional Disorders)
เด็กบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ หมายถึง ผู้ที่มีการควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในสภาพ
ปกติ เช่นคนปกตินาน ๆ ไม่ได้ หรือผู้ที่ควบคุมพฤติกรรมบางอย่างของตนเองไม่ได้ ซึ่งพฤติกรรมที่
แสดงออกมานั้นไม่เป็นที่ยอมรับและพอใจของมาตรฐานความประพฤติปฏิบัติของสังคม ท าให้ไม่
สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเรียบร้อย สอดคล้องกับสภาพการณ์ ซึ่งการจะจัดว่าใครมีความ
บกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ต้องค านึงถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ดังนี้
1. สภาพแวดล้อม พฤติกรรมและอารมณ์ที่เป็นที่ยอมรับในสถานการณ์อย่างหนึ่ง อาจจะ
ไม่เป็นที่ยอมรับในอีกสถานการณ์หนึ่ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเวลา สถานที่ และการปฏิบัติของชนกลุ่มนั้น
2. ความคิดเห็นของแต่ละบุคคล ความคิดเห็นของคนสองคนที่มีต่อพฤติกรรมอย่างเดียวกัน
ย่อมไม่เหมือนกัน
3. เป้าหมายของแต่ละบุคคล ซึ่งเป้าหมายจะเป็นตัวก าหนดท าให้การมองพฤติกรรม
เดียวกันของคนสองคนมองกันคนละแง่เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์จะได้รับ
ผลกระทบในลักษณะต่าง ๆ อาจจะเพียงข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายข้อก็ได้ และเป็นปัญหาที่เกิดขึ้น
และมีมาเป็นเวลานานแล้วได้แก่ 1.ไม่สามารถเรียนหนังสือได้เช่นเด็กปกติ และเด็กที่ไม่สามารถเรียนได้นั้น มิได้มีสาเหตุมา
จากองค์ประกอบทางสติปัญญา และสุขภาพ หรือความบกพร่องทางร่างกาย
2. ไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนนักเรียนด้วยกัน หรือกับครูได้
3. มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กปกติอื่น ๆ ในวัยเดียวกัน
4. มีความคับข้องใจ และมีความเก็บกดอารมณ์
5. แสดงอาการทางร่างกาย เช่น ปวดศรีษะ ปวดตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หรือมีความ
หวาดกลัว เมื่อมีปัญหาส่วนตัวหรือปัญหาทางด้านการเรียน
เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรม ซึ่งจัดว่ามีความรุนแรงมาก และก าลังได้รับความ
สนใจจากทางการแพทย์ ทางจิตวิทยา และทางการศึกษา ได้แก่
1. เด็กสมาธิสั้น (Children with Attention Deficit and Hyperactivity Disorders) หรือเรียก
ย่อ ๆ ว่า ADHD หมายถึงเด็กที่ซนอยู่ไม่นิ่ง ซนมากผิดปกติ เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา บางคนมี
ลักษณะอาการที่เห็นได้ชัดเจนถึงปัญหาเรื่องสมาธิบกพร่อง (Attention Span) หรืออาการหุนหัน
พลันแล่น ขาดความยับยั้งชั่งใจ (Impulsive Behaviors) ส าหรับเด็กเหล่านี้ทางการแพทย์จะเรียกว่า
Attention Deficit Disorders หรือ เรียกย่อ ๆ ว่า ADD
2. เด็กออทิสติก (Autistic) หรือบางครั้งเรียกว่า ออทิสซึ่ม (Autisum)
ลักษณะบางอย่างของเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ที่พอสังเกตได้แบ่งเป็น
1. ลักษณะพฤติกรรมไม่สมวัยอันอาจน าไปสู่ความบกพร่องทางบุคลิกภาพและการปรับตัว
หากไม่ได้รับการแก้ไข มีดังนี้
1.1 หยิบสิ่งที่ไม่ใช่อาหารเข้าปาก หรือกิน
1.2 กินอาหารยาก หรือเบื่ออาหาร
1.3 กินจุ พร่าเพรื่อ
1.4 อุจจาระ ปัสสาวะรดเสื้อผ้า หรือที่นอน
1.5 ยังติดขวดนม หรือตุ๊กตา และของใช้ในวัยทารก
1.6 พูดน้อยค า
1.7 พูดไม่เป็นภาษาที่ฟังเข้าใจ
1.8 พูดไม่ชัด
1.9 พูดเสียงเบา ค่อย ๆ
1.10 พูดตะกุกตะกัก ติดอ่าง
1.11 พูดหยาบคาย
1.12 ไม่ยอมพูดเฉพาะกับคนบางคน
1.13 ดูดนิ้ว
1.14 กัดเล็บ
1.15 ถอนผม
1.16 กัดฟัน
1.17 โขกศีรษะ
1.18 โยกตัว
1.19 เล่นอวัยวะเพศ
1.20 เรียบร้อยเกินไป
1.21 ติดคนมากเกินไป
1.22 เชื่อผู้อื่นมากเกินไป
1.23 สมยอม
1.24 ดื้อดึงผิดปกติ
1.25 ซนผิดปกติ
1.26 หงอยเหงาเศร้าซึม
1.27 ไม่ยอมช่วยตัวเองในสิ่งที่ควรท าได้
1.28 พัฒนาการต่าง ๆ ที่เคยท าได้ชงัก
1.29 ชอบพึ่งพาผู้อื่น
1.30 ไม่กล้าแสดงตนเอง หรือแสดงความคิดเห็น
1.31 ขาดความเชื่อมั่น หรือภาคภูมิใจในตนเอง
1.32 ท้อแท้สิ้นหวัง หมดก าลังใจ
1.33 อาย หลบ หวาดกลัว
1.34 แยกตัวเองไม่เข้ากลุ่ม
1.35 รู้สึกว่าตัวเองมีปมด้อย
1.36 เรียกร้องความสนใจ
1.37 ป้ายความผิดให้ผู้อื่น
1.38 ไม่ยอมรับผิด
1.39 กลัวโรงเรียน หรือไม่อยากมาโรงเรียน
1.40 อารมณ์หวั่นไหวง่ายต่อสิ่งเร้า การถูกวิจารณ์หรือต่อการเปลี่ยนแปลง
1.41 ระแวง
1.42 ย้ าคิดย้ าท า
1.43 ก้าวร้าว
1.44 ต่อต้านสังคมด้วยวิธีต่าง ๆ
1.45 ดื้อเงียบ เช่น ทำไม่รู้ไม่ชี้ทำเป็นไม่ได้ยิน
1.46 มีความประพฤติ จิตใจ การแต่งกาย และบทบาทไม่สมกับเพศของตนเองตามพัฒนาการของวัย
2. ลักษณะความผิดปกติทางความประพฤติที่เป็นปัญหา มีดังนี้
2.1 รู้สึกว่าตนเองมีปมเด่น หรือปมด้อย
2.2 ฝ่าฝืนไม่เคารพกฎระเบียบของหมู่คณะ
2.3 ละเมิดสิทธิผู้อื่น
2.4 ก้าวร้าวทั้งด้านการกระท าและวาจา
2.5 ดื้อดึง ต่อต้าน
2.6 มักก่อเหตุทะเลาะวิวาท
2.7 วางเขื่อง
2.8 ต้องการความยอมรับจากผู้อื่น
2.9 อดกลั้นต่อการถูกยั่วยุไม่ค่อยได้
2.10 ไม่ยอมรับผิด
2.11 ไม่เป็นมิตร นอกจากกับกลุ่มพวกของตน
2.12 อาฆาตพยาบาท
2.13 เกะกะระราน วางโต
2.14 ก่อให้เกิด หรือได้รับอุบัติเหตุบ่อย ๆ
2.15 ลักเล็กขโมยน้อย
2.16 พูดปด
2.17 ใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น
2.18 หนีการเรียน
2.19 หนีออกจากบ้าน
2.20 ใช้สารเสพย์ติดต่าง ๆ
2.21 ผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ไม่ดีหรือด้อยลง
3. ลักษณะความบกพร่องทางอารมณ์และอาการทางประสาท
2.11 ช่างวิตกกังวลจนเกินเหตุอยู่เสมอ
2.12 หวาดผวา กลัวอย่างไม่สมเหตุผล
2.13 ตกใจง่าย
2.14 เคียดแค้นอาฆาต
2.15 หงุดหงิด ฉุนเฉียว ขี้โมโห บันดาลโทสะ
2.16 ขี้อิจฉาริษยา
2.17 เกรี้ยวกราด มุทะลุ ก้าวร้าว
2.18 เจ้าอารมณ์
2.19 เจ้าน้ำตา
2.20 เศร้าซึม
2.21 หงอยเหงา
2.22 หมกมุ่นครุ่นคิด
2.23 ฝันกลางวัน
2.24 เหม่อลอย
2.25 ขาดความสนใจต่อสิ่งแวดล้อม หรือสิ่งเร้า
2.26 กลัวโรงเรียน
2.27 ความเอาใจใส่ และสมาธิต่อการเรียนลดลง
2.28 ผลการเรียนด้อยลง
2.29 ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง
2.30 ติดผู้ใดผู้หนึ่งมากเป็นพิเศษ
2.31 ตัดสินใจอะไรไม่ได้
2.32 ท้อแท้หมดหวัง
2.33 พะวงถึงแต่ตัวเอง
2.34 ตีโพยตีพาย
2.35 ตื่นเต้นง่าย
2.36 เก็บกดซ่อนเร้นความรู้สึก
2.37 ติดอ่าง
2.38 ฝันร้าย
2.39 นอนละเมอ
2.40 หลับยาก
2.41 พูดเพ้อเจ้อ
2.42 ย้ าคิดย้ าท า
2.43 อ่อนเพลียไม่มีแรง
2.44 เหนื่อยง่าย
2.45 เบื่ออาหาร
2.46 กลืนไม่ลง
2.47 หายใจไม่เต็มอิ่ม
2.48 จุกในคอ
2.49 แน่นหน้าอก
2.50 ถอนหายใจ
2.51 กระตุกหรือเกร็งตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
2.52 ท าเสียงในจมูกหรือในคอซ้ า ๆ ซาก ๆ
2.53 เวียนหัว หน้ามืด
2.54 ปวดหัว
2.55 ปวดท้อง
2.56 ปวดข้อ
2.57 ปวดแขน ขา
2.58 ชาตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
2.59 ดูดนิ้ว
2.60 กัดเล็บ
2.61 กัดริมฝีปาก
2.62 ถอนผม
2.63 แกะ เกาจนอาจเป็นผื่นแผลตามตัว
2.64 ปัสสาวะ อุจจาระบ่อยหรือราด
2.65 ปัสสาวะรดที่นอน
3. ลักษณะของเด็กสมาธิสั้น แบ่งเป็นกลุ่มคือ
3.1 กลุ่มซนอยู่ไม่นิ่ง หรือที่ซนมากผิดปกติ(Hyperactivity) กลุ่มที่หุนหันพลันแล่น ขาด
ความยับยั้งชั่งใจ (Impulsive) มีลักษณะดังนี้
3.1.1 ไม่รู้จักระมัดระวังตัวเอง ทำให้เกิดอุบัติเหตุ
3.1.2 ลุกออกจากที่นั่งบ่อย ๆ
3.1.3 ชอบวิ่ง หรือปีนป่าย อยู่ไม่นิ่ง กระสับกระส่าย วุ่นวาย
3.1.4 พูดคุยมากเกินไป
3.1.5 มีความล าบากในการเล่นคนเดียวเงียบ ๆ
3.1.6 ลุกลี้ลุกลน
3.1.7 อารมณ์ร้อน เปลี่ยนแปลงง่าย
3.1.8 ขาดความอดทนในการรอคอย
3.1.9 ชอบพูดขัดจังหวะ รบกวน ช่างฟ้อง
3.2 กลุ่มที่ไม่มีการซน แต่อยู่ไม่นิ่ง เป็นกลุ่มสมาธิบกพร่อง (Inattentive) มีลักษณะดังนี้
4.2.1 มีปัญหาในการทำกิจกรรมตามลำพัง โดยเฉพาะค าสั่งยาว ๆ มีความลำบากใน
การฟังคำสั่งให้ตลอดใจความ
4.2.2 มีความลำบากในการทำงาน หรือเล่นกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งให้ส าเร็จลุล่วงไป
4.2.3 อุปกรณ์ เครื่องใช้เกี่ยวกับการเรียนต่าง ๆ สูญหายบ่อย ๆ
4.2.4 ไม่สนใจสิ่งเร้าส าคัญ แต่ไปสนใจสิ่งเร้าที่ไม่ส าคัญ
4.2.5 ขาดสมาธิ หรือความตั้งใจในการทำกิจกรรมที่มีรายละเอียดปลีกย่อย หรือเรียน
วิชาที่น่าเบื่อหน่ายใช้เวลานาน
4.2.6 ขาดการวางแผนจัดการที่ดี (Disorganized)
4.2.7 มีความลำบากในการทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมองเป็นเวลานาน ๆ (long mental
effort)
4.2.8 มักขี้ลืม ทำของหายเป็นประจ า หรือลืมนัด
4.2.9 ถูกรบกวนจากสิ่งเร้าต่าง ๆ ง่ายมาก วอกแวกง่าย เหม่อลอยหรือช่างฝัน
เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ (Children with Learning Disabilities)
เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ หรือเรียกย่อ ๆ ว่า L.D. (Learning Disability) หมายถึง ผู้ที่มี
ปัญหาทางการเรียนรู้เฉพาะอย่าง โดยมีความบกพร่อง หรือปัญหาหนึ่ง หรือมากกว่าหนึ่งอย่าง ใน
กระบวนการทางจิตวิทยาท าให้เด็กเหล่านี้มีปัญหาทางการใช้ภาษา หรือการพูด การเขียน โดยจะ
แสดงออกมาในลักษณะของการน าไปปฏิบัติ ทั้งนี้ไม่นับรวมเด็กที่มีปัญหาเพียงเล็กน้อยทางการ
เรียน ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจาก การขาดแรงเสริม ด้อยโอกาสทางสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม หรือเป็นเพราะครูสอนไม่มีประสิทธิภาพ และไม่นับรวมถึงเด็กที่มีปัญหาเนื่องจากความพิการ หรือความ
บกพร่องทางร่างกาย ซึ่งการจะบอกได้ว่า เด็กคนใดเป็นเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้หรือไม่ จะ
อาศัยเพียงการมองดูนั้นเป็นไปได้ยากมาก เพราะเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ จะต้องอาศัยเรื่อง
ของความแตกต่างของความส าเร็จในการเรียนกับความสามารถที่มีอยู่ว่าห่างกันมากหรือไม่ ด้วย
เหตุนี้ในการพิจารณาเรื่องปัญหาทางการเรียนรู้จึงต้องอาศัยลักษณะร่วมกันคือ เป็นผู้ที่มีระดับ
สติปัญญาปกติ หรือมีสติปัญญาอยู่ในช่วงเช่นเดียวกับเด็กปกติแต่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจะต่ า
กว่าปกติ และจะต้องไม่มีความพิการหรือความบกพร่องในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย
สุขภาพอนามัย ระบบประสาทการสัมผัสและวัฒนธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง
ลักษณะบางอย่างของเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ที่พอสังเกตได้ มีดังนี้
1. แยกความแตกต่างของขนาดและรูปทรงไม่ได้
2. จ ำตัวเลขไม่ได้
3. นับเลขไม่ได้
4. ใช้เครื่องหมายบวก ลบ คูณ หาร ไม่ได้เมื่อเรียนแล้ว
5. ค านวณผิด แม้จะใช้เครื่องหมายถูก
6. มีปัญหาในการเรียนคณิตศาสตร์
7. เข้าใจคำศัพท์น้อยมาก
8. ปฏิบัติตามคำสั่งไม่ได้เพราะไม่เข้าใจค าสั่ง
9. ไม่ตั้งใจฟังครู
10.จ าสิ่งที่ครูพูดให้ฟังไม่ได้
11. เล่าเรื่อง/ล าดับเหตุการณ์ไม่ได้
12. มีปัญหาด้านการอ่าน เช่น อ่านข้ามบรรทัด อ่านไม่ออก อ่านไม่ชัดเจน ไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่อ่าน
13. มีปัญหาด้านการเขียน เช่น เขียนหนังสือไม่เป็นตัว จำตัวอักษรไม่ได้ สะกดคำไม่ได้เขียนบรรยายภาพไม่ได้เลย
14. สับสนเรื่องเวลา
15.กะขนาดไม่ได้
16. ไม่เข้าใจเกี่ยวกับระยะทาง
17. เรียงล าดับมากน้อยไม่ได้
18. เรียงล าดับเหตุการณ์ไม่ได้
19. สับสนเรื่องซ้าย-ขวา หรือบน-ล่าง
20. มองเห็นภาพแต่บอกความแตกต่างของภาพไม่ได้
21.จ าสิ่งที่เห็นไม่ได้
22.จ าสิ่งที่ได้ยินไม่ได้ และแยกเสียงไม่ได้
23. เคลื่อนไหวช้าผิดปกติ
24. เดินงุ่มง่าม
25. หกล้มบ่อย
26.กระโดดสองเท้าพร้อมกันไม่ได้
27. มีปัญหาในการทรงตัวขณะเดิน
28. หยิบจับสิ่งของไม่ค่อยได้จึงท าของหลุดมือบ่อย ซุ่มซ่าม
29. เคลื่อนไหวเร็วอยู่ตลอดเวลา (เร็วผิดปกติ)
30.อยู่นิ่งเฉยไม่ได้
31. รับลูกบอลไม่ได้
32. ติดกระดุมไม่ได้
33. เอาแต่ใจตนเองไม่ฟังความเห็นของเพื่อน
34. เพื่อนไม่ชอบ ไม่อยากให้เข้ากลุ่มด้วย
35.ช่วงความสนใจสั้นมาก (ไม่เกิน 1 นาที)
36.แต่งตัวไม่เรียบร้อยเป็นประจ า
37. ท างานสกปรกไม่เป็นระเบียบ
38.ชอบหลบหน้าไม่ค่อยมีเพื่อน
39. หวงของ ไม่แบ่งปัน
40.ขาดความรับผิดชอบ เลี่ยงงาน
41. มักท างานที่ได้รับมอบหมายไม่ส าเร็จ
42. ส่งงานไม่ตรงเวลา
เด็กออทิสติก (Autistic)
เด็กออทิสติก หรือบางครั้งเรียกว่า ออทิซึ่ม (Autism) หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง
อย่างรุนแรงในการสื่อความหมาย พฤติกรรม สังคม และความสามารถทางสติปัญญาในการรับรู้
อาการต่าง ๆ จะมีการเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอนเป็นระยะ ๆ ไป เด็กออทิสติกแต่ละคนจะมี
เอกลักษณ์ของตนเอง และย่อมแตกต่างไปจากเด็กคนอื่น ๆ ซึ่งเป็นเด็กออทิสติกเหมือนกัน ทั้งนี้
เป็นเพราะอาการที่เป็นมีความรุนแรงมากน้อยต่างกันไป ประกอบกับเด็กแต่ละคนมีบุคลิกภาพของ
ตัวเองอยู่ด้วย อาการออทิสติกนั้นจะคงอยู่ติดตัวเด็กไปจนเป็นผู้ใหญ่จนตลอดทั้งชีวิต ไม่สามารถ
รักษาให้หายได้หากพิจารณาเปรียบเทียบด้านพัฒนาการของทักษะด้านต่างๆ ของเด็กออทิสติกใน
4 ด้าน คือ ด้านทักษะการเคลื่อนไหว ด้านทักษะการรับรู้เกี่ยวกับรูปทรง ขนาดและพื้นที่ ด้าน
ทักษะภาษาและการสื่อความหมาย และด้านทักษะทางสังคม จะพบว่าเด็กออทิสติกจะมี
พัฒนาการด้านภาษา และพัฒนาการด้านสังคมต่ ามาก แต่จะมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหว
ด้านการรับรู้รูปทรง ขนาดและพื้นที่โดยเฉลี่ยสูงถ้าความแตกต่างระหว่างทักษะด้านภาษา และ
สังคมยิ่งต่ ากว่า ทักษะด้านการเคลื่อนไหว และการรับรู้รูปทรงมากเท่าใดความเป็นไปได้ของออทิ
สติกก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น พัฒนาการที่ผิดปกตินี้ ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงตลอดชีวิต ซึ่ง
ปกติปรากฎในระยะ 3 ปี แรกของชีวิต
ลักษณะของเด็กออทิสติก มีดังนี้
1.อยู่ในโลกของตนเอง คือไม่สนใจต่อความรู้สึกของคนอื่น มองเห็นคนอื่นเป็นเสมือนวัตถุหรือมองเลยไปที่วัตถุที่เขาสนใจเท่านั้น
2. ไม่สนใจที่จะเข้าไปหาใครเพื่อให้ปลอบใจ เมื่อเกิดการหกล้ม หรือเจ็บจะส่งเสียงร้องเพียงชั่วขณะแล้วจะหยุดหายอย่างปลิดทิ้งไปเลย
3. ไม่เข้าไปเล่นในกลุ่มเพื่อน ๆ หรือไม่เล่นเลียนแบบเด็กอื่น ๆ
4. ไม่ยอมพูด ส่วนการเล่นเสียงจะไม่มีแบบแผนแน่นอน อาจแตกต่างกันไปในแต่ละวัน
5. เคลื่อนไหวแบบซ้ า ๆ ซาก ๆ อยู่อย่างเดียวบ่อยจนผิดปกติ
6. ยึดติดวัตถุ สิ่งของอย่างใดอย่างหนึ่ง มักถือเดินไปเรื่อย ๆ หรือเก็บไว้เป็นส่วนตัว ถ้าถูก
แย่งไปจะร้องลั่น
7. ต่อต้าน หรือแสดงกิริยาอารมณ์รุนแรง และไร้เหตุผล
8. มีทีท่าเหมือนคนหูหนวก
9. ท่าทางไม่รู้สึกรับรู้ต่อสิ่งเร้าที่มากระตุ้น
10.ใช้วิธีการสัมผัส และเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ด้วยวิธีการที่ต่างจากคนทั่วไป เช่น ใช้วิธีการดมการชิม เป็นต้น
อาจารย์สอนต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว
เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ (Children with Behaviorally and Emotional Disorders)
เด็กบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ หมายถึง ผู้ที่มีการควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในสภาพ
ปกติ เช่นคนปกตินาน ๆ ไม่ได้ หรือผู้ที่ควบคุมพฤติกรรมบางอย่างของตนเองไม่ได้ ซึ่งพฤติกรรมที่
แสดงออกมานั้นไม่เป็นที่ยอมรับและพอใจของมาตรฐานความประพฤติปฏิบัติของสังคม ท าให้ไม่
สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเรียบร้อย สอดคล้องกับสภาพการณ์ ซึ่งการจะจัดว่าใครมีความ
บกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ต้องค านึงถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ดังนี้
1. สภาพแวดล้อม พฤติกรรมและอารมณ์ที่เป็นที่ยอมรับในสถานการณ์อย่างหนึ่ง อาจจะ
ไม่เป็นที่ยอมรับในอีกสถานการณ์หนึ่ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเวลา สถานที่ และการปฏิบัติของชนกลุ่มนั้น
2. ความคิดเห็นของแต่ละบุคคล ความคิดเห็นของคนสองคนที่มีต่อพฤติกรรมอย่างเดียวกัน
ย่อมไม่เหมือนกัน
3. เป้าหมายของแต่ละบุคคล ซึ่งเป้าหมายจะเป็นตัวก าหนดท าให้การมองพฤติกรรม
เดียวกันของคนสองคนมองกันคนละแง่เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์จะได้รับ
ผลกระทบในลักษณะต่าง ๆ อาจจะเพียงข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายข้อก็ได้ และเป็นปัญหาที่เกิดขึ้น
และมีมาเป็นเวลานานแล้วได้แก่ 1.ไม่สามารถเรียนหนังสือได้เช่นเด็กปกติ และเด็กที่ไม่สามารถเรียนได้นั้น มิได้มีสาเหตุมา
จากองค์ประกอบทางสติปัญญา และสุขภาพ หรือความบกพร่องทางร่างกาย
2. ไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนนักเรียนด้วยกัน หรือกับครูได้
3. มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กปกติอื่น ๆ ในวัยเดียวกัน
4. มีความคับข้องใจ และมีความเก็บกดอารมณ์
5. แสดงอาการทางร่างกาย เช่น ปวดศรีษะ ปวดตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หรือมีความ
หวาดกลัว เมื่อมีปัญหาส่วนตัวหรือปัญหาทางด้านการเรียน
เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรม ซึ่งจัดว่ามีความรุนแรงมาก และก าลังได้รับความ
สนใจจากทางการแพทย์ ทางจิตวิทยา และทางการศึกษา ได้แก่
1. เด็กสมาธิสั้น (Children with Attention Deficit and Hyperactivity Disorders) หรือเรียก
ย่อ ๆ ว่า ADHD หมายถึงเด็กที่ซนอยู่ไม่นิ่ง ซนมากผิดปกติ เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา บางคนมี
ลักษณะอาการที่เห็นได้ชัดเจนถึงปัญหาเรื่องสมาธิบกพร่อง (Attention Span) หรืออาการหุนหัน
พลันแล่น ขาดความยับยั้งชั่งใจ (Impulsive Behaviors) ส าหรับเด็กเหล่านี้ทางการแพทย์จะเรียกว่า
Attention Deficit Disorders หรือ เรียกย่อ ๆ ว่า ADD
2. เด็กออทิสติก (Autistic) หรือบางครั้งเรียกว่า ออทิสซึ่ม (Autisum)
ลักษณะบางอย่างของเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ที่พอสังเกตได้แบ่งเป็น
1. ลักษณะพฤติกรรมไม่สมวัยอันอาจน าไปสู่ความบกพร่องทางบุคลิกภาพและการปรับตัว
หากไม่ได้รับการแก้ไข มีดังนี้
1.1 หยิบสิ่งที่ไม่ใช่อาหารเข้าปาก หรือกิน
1.2 กินอาหารยาก หรือเบื่ออาหาร
1.3 กินจุ พร่าเพรื่อ
1.4 อุจจาระ ปัสสาวะรดเสื้อผ้า หรือที่นอน
1.5 ยังติดขวดนม หรือตุ๊กตา และของใช้ในวัยทารก
1.6 พูดน้อยค า
1.7 พูดไม่เป็นภาษาที่ฟังเข้าใจ
1.8 พูดไม่ชัด
1.9 พูดเสียงเบา ค่อย ๆ
1.10 พูดตะกุกตะกัก ติดอ่าง
1.11 พูดหยาบคาย
1.12 ไม่ยอมพูดเฉพาะกับคนบางคน
1.13 ดูดนิ้ว
1.14 กัดเล็บ
1.15 ถอนผม
1.16 กัดฟัน
1.17 โขกศีรษะ
1.18 โยกตัว
1.19 เล่นอวัยวะเพศ
1.20 เรียบร้อยเกินไป
1.21 ติดคนมากเกินไป
1.22 เชื่อผู้อื่นมากเกินไป
1.23 สมยอม
1.24 ดื้อดึงผิดปกติ
1.25 ซนผิดปกติ
1.26 หงอยเหงาเศร้าซึม
1.27 ไม่ยอมช่วยตัวเองในสิ่งที่ควรท าได้
1.28 พัฒนาการต่าง ๆ ที่เคยท าได้ชงัก
1.29 ชอบพึ่งพาผู้อื่น
1.30 ไม่กล้าแสดงตนเอง หรือแสดงความคิดเห็น
1.31 ขาดความเชื่อมั่น หรือภาคภูมิใจในตนเอง
1.32 ท้อแท้สิ้นหวัง หมดก าลังใจ
1.33 อาย หลบ หวาดกลัว
1.34 แยกตัวเองไม่เข้ากลุ่ม
1.35 รู้สึกว่าตัวเองมีปมด้อย
1.36 เรียกร้องความสนใจ
1.37 ป้ายความผิดให้ผู้อื่น
1.38 ไม่ยอมรับผิด
1.39 กลัวโรงเรียน หรือไม่อยากมาโรงเรียน
1.40 อารมณ์หวั่นไหวง่ายต่อสิ่งเร้า การถูกวิจารณ์หรือต่อการเปลี่ยนแปลง
1.41 ระแวง
1.42 ย้ าคิดย้ าท า
1.43 ก้าวร้าว
1.44 ต่อต้านสังคมด้วยวิธีต่าง ๆ
1.45 ดื้อเงียบ เช่น ทำไม่รู้ไม่ชี้ทำเป็นไม่ได้ยิน
1.46 มีความประพฤติ จิตใจ การแต่งกาย และบทบาทไม่สมกับเพศของตนเองตามพัฒนาการของวัย
2. ลักษณะความผิดปกติทางความประพฤติที่เป็นปัญหา มีดังนี้
2.1 รู้สึกว่าตนเองมีปมเด่น หรือปมด้อย
2.2 ฝ่าฝืนไม่เคารพกฎระเบียบของหมู่คณะ
2.3 ละเมิดสิทธิผู้อื่น
2.4 ก้าวร้าวทั้งด้านการกระท าและวาจา
2.5 ดื้อดึง ต่อต้าน
2.6 มักก่อเหตุทะเลาะวิวาท
2.7 วางเขื่อง
2.8 ต้องการความยอมรับจากผู้อื่น
2.9 อดกลั้นต่อการถูกยั่วยุไม่ค่อยได้
2.10 ไม่ยอมรับผิด
2.11 ไม่เป็นมิตร นอกจากกับกลุ่มพวกของตน
2.12 อาฆาตพยาบาท
2.13 เกะกะระราน วางโต
2.14 ก่อให้เกิด หรือได้รับอุบัติเหตุบ่อย ๆ
2.15 ลักเล็กขโมยน้อย
2.16 พูดปด
2.17 ใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น
2.18 หนีการเรียน
2.19 หนีออกจากบ้าน
2.20 ใช้สารเสพย์ติดต่าง ๆ
2.21 ผลการเรียนอยู่ในเกณฑ์ไม่ดีหรือด้อยลง
3. ลักษณะความบกพร่องทางอารมณ์และอาการทางประสาท
2.11 ช่างวิตกกังวลจนเกินเหตุอยู่เสมอ
2.12 หวาดผวา กลัวอย่างไม่สมเหตุผล
2.13 ตกใจง่าย
2.14 เคียดแค้นอาฆาต
2.15 หงุดหงิด ฉุนเฉียว ขี้โมโห บันดาลโทสะ
2.16 ขี้อิจฉาริษยา
2.17 เกรี้ยวกราด มุทะลุ ก้าวร้าว
2.18 เจ้าอารมณ์
2.19 เจ้าน้ำตา
2.20 เศร้าซึม
2.21 หงอยเหงา
2.22 หมกมุ่นครุ่นคิด
2.23 ฝันกลางวัน
2.24 เหม่อลอย
2.25 ขาดความสนใจต่อสิ่งแวดล้อม หรือสิ่งเร้า
2.26 กลัวโรงเรียน
2.27 ความเอาใจใส่ และสมาธิต่อการเรียนลดลง
2.28 ผลการเรียนด้อยลง
2.29 ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง
2.30 ติดผู้ใดผู้หนึ่งมากเป็นพิเศษ
2.31 ตัดสินใจอะไรไม่ได้
2.32 ท้อแท้หมดหวัง
2.33 พะวงถึงแต่ตัวเอง
2.34 ตีโพยตีพาย
2.35 ตื่นเต้นง่าย
2.36 เก็บกดซ่อนเร้นความรู้สึก
2.37 ติดอ่าง
2.38 ฝันร้าย
2.39 นอนละเมอ
2.40 หลับยาก
2.41 พูดเพ้อเจ้อ
2.42 ย้ าคิดย้ าท า
2.43 อ่อนเพลียไม่มีแรง
2.44 เหนื่อยง่าย
2.45 เบื่ออาหาร
2.46 กลืนไม่ลง
2.47 หายใจไม่เต็มอิ่ม
2.48 จุกในคอ
2.49 แน่นหน้าอก
2.50 ถอนหายใจ
2.51 กระตุกหรือเกร็งตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
2.52 ท าเสียงในจมูกหรือในคอซ้ า ๆ ซาก ๆ
2.53 เวียนหัว หน้ามืด
2.54 ปวดหัว
2.55 ปวดท้อง
2.56 ปวดข้อ
2.57 ปวดแขน ขา
2.58 ชาตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
2.59 ดูดนิ้ว
2.60 กัดเล็บ
2.61 กัดริมฝีปาก
2.62 ถอนผม
2.63 แกะ เกาจนอาจเป็นผื่นแผลตามตัว
2.64 ปัสสาวะ อุจจาระบ่อยหรือราด
2.65 ปัสสาวะรดที่นอน
3. ลักษณะของเด็กสมาธิสั้น แบ่งเป็นกลุ่มคือ
3.1 กลุ่มซนอยู่ไม่นิ่ง หรือที่ซนมากผิดปกติ(Hyperactivity) กลุ่มที่หุนหันพลันแล่น ขาด
ความยับยั้งชั่งใจ (Impulsive) มีลักษณะดังนี้
3.1.1 ไม่รู้จักระมัดระวังตัวเอง ทำให้เกิดอุบัติเหตุ
3.1.2 ลุกออกจากที่นั่งบ่อย ๆ
3.1.3 ชอบวิ่ง หรือปีนป่าย อยู่ไม่นิ่ง กระสับกระส่าย วุ่นวาย
3.1.4 พูดคุยมากเกินไป
3.1.5 มีความล าบากในการเล่นคนเดียวเงียบ ๆ
3.1.6 ลุกลี้ลุกลน
3.1.7 อารมณ์ร้อน เปลี่ยนแปลงง่าย
3.1.8 ขาดความอดทนในการรอคอย
3.1.9 ชอบพูดขัดจังหวะ รบกวน ช่างฟ้อง
3.2 กลุ่มที่ไม่มีการซน แต่อยู่ไม่นิ่ง เป็นกลุ่มสมาธิบกพร่อง (Inattentive) มีลักษณะดังนี้
4.2.1 มีปัญหาในการทำกิจกรรมตามลำพัง โดยเฉพาะค าสั่งยาว ๆ มีความลำบากใน
การฟังคำสั่งให้ตลอดใจความ
4.2.2 มีความลำบากในการทำงาน หรือเล่นกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งให้ส าเร็จลุล่วงไป
4.2.3 อุปกรณ์ เครื่องใช้เกี่ยวกับการเรียนต่าง ๆ สูญหายบ่อย ๆ
4.2.4 ไม่สนใจสิ่งเร้าส าคัญ แต่ไปสนใจสิ่งเร้าที่ไม่ส าคัญ
4.2.5 ขาดสมาธิ หรือความตั้งใจในการทำกิจกรรมที่มีรายละเอียดปลีกย่อย หรือเรียน
วิชาที่น่าเบื่อหน่ายใช้เวลานาน
4.2.6 ขาดการวางแผนจัดการที่ดี (Disorganized)
4.2.7 มีความลำบากในการทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมองเป็นเวลานาน ๆ (long mental
effort)
4.2.8 มักขี้ลืม ทำของหายเป็นประจ า หรือลืมนัด
4.2.9 ถูกรบกวนจากสิ่งเร้าต่าง ๆ ง่ายมาก วอกแวกง่าย เหม่อลอยหรือช่างฝัน
เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ (Children with Learning Disabilities)
เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ หรือเรียกย่อ ๆ ว่า L.D. (Learning Disability) หมายถึง ผู้ที่มี
ปัญหาทางการเรียนรู้เฉพาะอย่าง โดยมีความบกพร่อง หรือปัญหาหนึ่ง หรือมากกว่าหนึ่งอย่าง ใน
กระบวนการทางจิตวิทยาท าให้เด็กเหล่านี้มีปัญหาทางการใช้ภาษา หรือการพูด การเขียน โดยจะ
แสดงออกมาในลักษณะของการน าไปปฏิบัติ ทั้งนี้ไม่นับรวมเด็กที่มีปัญหาเพียงเล็กน้อยทางการ
เรียน ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจาก การขาดแรงเสริม ด้อยโอกาสทางสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม หรือเป็นเพราะครูสอนไม่มีประสิทธิภาพ และไม่นับรวมถึงเด็กที่มีปัญหาเนื่องจากความพิการ หรือความ
บกพร่องทางร่างกาย ซึ่งการจะบอกได้ว่า เด็กคนใดเป็นเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้หรือไม่ จะ
อาศัยเพียงการมองดูนั้นเป็นไปได้ยากมาก เพราะเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ จะต้องอาศัยเรื่อง
ของความแตกต่างของความส าเร็จในการเรียนกับความสามารถที่มีอยู่ว่าห่างกันมากหรือไม่ ด้วย
เหตุนี้ในการพิจารณาเรื่องปัญหาทางการเรียนรู้จึงต้องอาศัยลักษณะร่วมกันคือ เป็นผู้ที่มีระดับ
สติปัญญาปกติ หรือมีสติปัญญาอยู่ในช่วงเช่นเดียวกับเด็กปกติแต่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจะต่ า
กว่าปกติ และจะต้องไม่มีความพิการหรือความบกพร่องในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย
สุขภาพอนามัย ระบบประสาทการสัมผัสและวัฒนธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง
ลักษณะบางอย่างของเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ที่พอสังเกตได้ มีดังนี้
1. แยกความแตกต่างของขนาดและรูปทรงไม่ได้
2. จ ำตัวเลขไม่ได้
3. นับเลขไม่ได้
4. ใช้เครื่องหมายบวก ลบ คูณ หาร ไม่ได้เมื่อเรียนแล้ว
5. ค านวณผิด แม้จะใช้เครื่องหมายถูก
6. มีปัญหาในการเรียนคณิตศาสตร์
7. เข้าใจคำศัพท์น้อยมาก
8. ปฏิบัติตามคำสั่งไม่ได้เพราะไม่เข้าใจค าสั่ง
9. ไม่ตั้งใจฟังครู
10.จ าสิ่งที่ครูพูดให้ฟังไม่ได้
11. เล่าเรื่อง/ล าดับเหตุการณ์ไม่ได้
12. มีปัญหาด้านการอ่าน เช่น อ่านข้ามบรรทัด อ่านไม่ออก อ่านไม่ชัดเจน ไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่อ่าน
13. มีปัญหาด้านการเขียน เช่น เขียนหนังสือไม่เป็นตัว จำตัวอักษรไม่ได้ สะกดคำไม่ได้เขียนบรรยายภาพไม่ได้เลย
14. สับสนเรื่องเวลา
15.กะขนาดไม่ได้
16. ไม่เข้าใจเกี่ยวกับระยะทาง
17. เรียงล าดับมากน้อยไม่ได้
18. เรียงล าดับเหตุการณ์ไม่ได้
19. สับสนเรื่องซ้าย-ขวา หรือบน-ล่าง
20. มองเห็นภาพแต่บอกความแตกต่างของภาพไม่ได้
21.จ าสิ่งที่เห็นไม่ได้
22.จ าสิ่งที่ได้ยินไม่ได้ และแยกเสียงไม่ได้
23. เคลื่อนไหวช้าผิดปกติ
24. เดินงุ่มง่าม
25. หกล้มบ่อย
26.กระโดดสองเท้าพร้อมกันไม่ได้
27. มีปัญหาในการทรงตัวขณะเดิน
28. หยิบจับสิ่งของไม่ค่อยได้จึงท าของหลุดมือบ่อย ซุ่มซ่าม
29. เคลื่อนไหวเร็วอยู่ตลอดเวลา (เร็วผิดปกติ)
30.อยู่นิ่งเฉยไม่ได้
31. รับลูกบอลไม่ได้
32. ติดกระดุมไม่ได้
33. เอาแต่ใจตนเองไม่ฟังความเห็นของเพื่อน
34. เพื่อนไม่ชอบ ไม่อยากให้เข้ากลุ่มด้วย
35.ช่วงความสนใจสั้นมาก (ไม่เกิน 1 นาที)
36.แต่งตัวไม่เรียบร้อยเป็นประจ า
37. ท างานสกปรกไม่เป็นระเบียบ
38.ชอบหลบหน้าไม่ค่อยมีเพื่อน
39. หวงของ ไม่แบ่งปัน
40.ขาดความรับผิดชอบ เลี่ยงงาน
41. มักท างานที่ได้รับมอบหมายไม่ส าเร็จ
42. ส่งงานไม่ตรงเวลา
เด็กออทิสติก (Autistic)
เด็กออทิสติก หรือบางครั้งเรียกว่า ออทิซึ่ม (Autism) หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง
อย่างรุนแรงในการสื่อความหมาย พฤติกรรม สังคม และความสามารถทางสติปัญญาในการรับรู้
อาการต่าง ๆ จะมีการเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอนเป็นระยะ ๆ ไป เด็กออทิสติกแต่ละคนจะมี
เอกลักษณ์ของตนเอง และย่อมแตกต่างไปจากเด็กคนอื่น ๆ ซึ่งเป็นเด็กออทิสติกเหมือนกัน ทั้งนี้
เป็นเพราะอาการที่เป็นมีความรุนแรงมากน้อยต่างกันไป ประกอบกับเด็กแต่ละคนมีบุคลิกภาพของ
ตัวเองอยู่ด้วย อาการออทิสติกนั้นจะคงอยู่ติดตัวเด็กไปจนเป็นผู้ใหญ่จนตลอดทั้งชีวิต ไม่สามารถ
รักษาให้หายได้หากพิจารณาเปรียบเทียบด้านพัฒนาการของทักษะด้านต่างๆ ของเด็กออทิสติกใน
4 ด้าน คือ ด้านทักษะการเคลื่อนไหว ด้านทักษะการรับรู้เกี่ยวกับรูปทรง ขนาดและพื้นที่ ด้าน
ทักษะภาษาและการสื่อความหมาย และด้านทักษะทางสังคม จะพบว่าเด็กออทิสติกจะมี
พัฒนาการด้านภาษา และพัฒนาการด้านสังคมต่ ามาก แต่จะมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหว
ด้านการรับรู้รูปทรง ขนาดและพื้นที่โดยเฉลี่ยสูงถ้าความแตกต่างระหว่างทักษะด้านภาษา และ
สังคมยิ่งต่ ากว่า ทักษะด้านการเคลื่อนไหว และการรับรู้รูปทรงมากเท่าใดความเป็นไปได้ของออทิ
สติกก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น พัฒนาการที่ผิดปกตินี้ ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงตลอดชีวิต ซึ่ง
ปกติปรากฎในระยะ 3 ปี แรกของชีวิต
ลักษณะของเด็กออทิสติก มีดังนี้
1.อยู่ในโลกของตนเอง คือไม่สนใจต่อความรู้สึกของคนอื่น มองเห็นคนอื่นเป็นเสมือนวัตถุหรือมองเลยไปที่วัตถุที่เขาสนใจเท่านั้น
2. ไม่สนใจที่จะเข้าไปหาใครเพื่อให้ปลอบใจ เมื่อเกิดการหกล้ม หรือเจ็บจะส่งเสียงร้องเพียงชั่วขณะแล้วจะหยุดหายอย่างปลิดทิ้งไปเลย
3. ไม่เข้าไปเล่นในกลุ่มเพื่อน ๆ หรือไม่เล่นเลียนแบบเด็กอื่น ๆ
4. ไม่ยอมพูด ส่วนการเล่นเสียงจะไม่มีแบบแผนแน่นอน อาจแตกต่างกันไปในแต่ละวัน
5. เคลื่อนไหวแบบซ้ า ๆ ซาก ๆ อยู่อย่างเดียวบ่อยจนผิดปกติ
6. ยึดติดวัตถุ สิ่งของอย่างใดอย่างหนึ่ง มักถือเดินไปเรื่อย ๆ หรือเก็บไว้เป็นส่วนตัว ถ้าถูก
แย่งไปจะร้องลั่น
7. ต่อต้าน หรือแสดงกิริยาอารมณ์รุนแรง และไร้เหตุผล
8. มีทีท่าเหมือนคนหูหนวก
9. ท่าทางไม่รู้สึกรับรู้ต่อสิ่งเร้าที่มากระตุ้น
10.ใช้วิธีการสัมผัส และเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ด้วยวิธีการที่ต่างจากคนทั่วไป เช่น ใช้วิธีการดมการชิม เป็นต้น
เด็กพิการซ้อน (Children with Multiple Handicaps)
เด็กบกพร่องซ้อน หมายถึง ผู้ที่มีความบกพร่องที่มากกว่าหนึ่งอย่าง เป็นเหตุให้เกิดปัญหา
ขัดข้องในการเรียนรู้อย่างมาก เช่น ปัญญาอ่อน – ตาบอด ปัญญาอ่อน-ร่างกายพิการ หูหนวก-ตา
บอด ฯลฯ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น